หน้าเว็บ

พร่ำเพ้อพรรณนา ถึงราคาค่าถ่ายเอกสารในโลกยุคปัจจุบัน


ปริมาณสถาบันการศึกษาที่เพิ่มขึ้นตามนโยบายขยายโอกาสทางการศึกษาสู่ภูมิภาค ทั้งสถาบันของรัฐและเอกชน ในระดับการศึกษาต่างๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในรอบทศวรรษที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยเองก็เพิ่มมากขึ้นจากเดิม 2 มหาวิทยาลัย กลายเป็นเกือบ 10 มหาวิทยาลัย นักเรียนนักศึกษาก็เพิ่มมากขึ้นทวีคูณ ส่งผลให้ธุรกิจที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงจากภาคการศึกษา มีอัตราการแข่งขันที่ดุเดือดรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจหลักด้านการผลิตและการทำสำเนาเอกสาร ตำรา อันเป็นสิ่งที่ขาดไปเสียมิได้ในแวดวงการศึกษา

ธุรกิจการถ่ายเอกสาร นอกจากจะต้องปรับตัว เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าแล้ว ยังต้องปรับราคาเพื่อตอบสนองความเป็นไปทางด้านการตลาด ทั้งบริการที่หลากหลาย ไม่ใช่การทำสำเนาเอกสารเพียงอย่างเดียว แต่มีส่วนเสริมด้านอื่นๆ ร่วมด้วย ส่วนด้านของกลไกการตลาดซึ่งเป็นตัวกำหนดราคาของสินค้าและบริการ ก็ย่อมเปลี่ยนไปเป็นเรื่องปกติธรรมดาของหลักเศรษฐศาสตร์ อุปสงค์ อุปทาน Demand & Supply เมื่อผู้ซื้อมากกว่าขาย ราคาเพิ่ม แต่เมื่อผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อเมื่อไร ราคาก็ต้องลดลง ทำให้การต่อสู้ด้านราคาและบริการดุเดือดมากกว่าที่คิด


จากหน้าละ 50 สตางค์เมื่อ 20 ปีก่อน หั่นกันลงมาเหลือ 45 สตางค์ ปัจจุบันแถวหน้าราชภัฎฯ เห็นป้ายถ่ายเอกสาร 35 สตางค์ เกลื่อนเมือง ซ้ำแถวแยกกลางเวียงเชียงใหม่ ติดป้ายถ่ายกันหน้าละ 25 สตางค์ ซึ่งโดยปกติแล้ว ร้านสลิลสไมล์ ถ่ายเอกสารราคาหน้าร้านหน้าละ 50 สตางค์ ถ้าเกินร้อยหน้าขึ้นไป หน้าละ 39 สตางค์ ลูกน้องในร้านทุกคนไม่มีสิทธิในการลดราคาให้ลูกค้า หากต้องการราคาพิเศษกว่านี้ ต้องคุยกับเจ้าของร้านโดยตรงเท่านั้น ไม่ว่าปริมาณงานจะมามากน้อยเพียงใด

แล้วราคาที่นอกเหนือไปจากนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร สำหรับร้านสลิลสไมล์เป็นไปได้สองกรณี คือตกลงกับเจ้าของร้านได้ในราคาหลังร้าน อาจเป็นลูกค้างานจำนวนที่มาเป็นประจำ ครั้งละแสน – สองแสนหน้า ส่วนมากเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน หน่วยงานที่มิได้แสวงหาผลกำไร สถาบันการศึกษา หรือสถาบันกวดวิชา พิจารณาควบคู่กับความยากง่าย ทั้งการถ่ายฯ และการเข้าเล่ม กับกรณีที่สองคืองานเพื่อนศูนย์ถ่ายฯ ด้วยกัน รับมาแล้ววิ่งไม่ทัน ก็ร่วมด้วยช่วยกัน หน้า-หลังเกินหนึ่งแสนหน้า ก็คิดราคาให้ได้เป็นกรณีพิเศษ แล้วแต่จำนวนต้นฉบับ และจำนวนสำเนา ซึ่งศูนย์ถ่ายฯ มืออาชีพทั้งหลาย คำนวณหาจุดคุ้มทุนตรงนี้ไม่ยาก

ล่าสุดงานที่เสนอไปสำหรับลูกค้ารายหนึ่ง ประมาณ 150,000 หน้า ซึ่งไม่สามารถส่งพิมพ์ออฟเซ็ตได้ เพราะจำนวนต้นฉบับเยอะ จำนวนสำเนาไม่กี่ร้อยเล่ม ทางเราเสนอราคาลดสุดๆ ไป แต่ก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้ ด้วยราคาที่ต่ำยิ่งกว่าเคยได้ยินในวงการ และเราไม่สามารถลดราคาต่ำกว่านี้ได้ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดหวังสักเท่าไร แค่เสียรายได้ไปสี่ห้าหมื่นบาท ลูกค้างานจำนวนที่มากกว่านี้ ให้บริการกันมา 5 – 6 ปี ในราคาปกติหน้าร้าน ทุกวันนี้เค้าก็ยังไม่ต่อราคา แถมมีงานออฟเซ็ตหลายพันเล่มมาทุกปีการศึกษา

คงไม่มีศูนย์ถ่ายเอกสารมืออาชีพร้านใด เปิดร้านมาเพียงเพื่อต้องการงานบ้านๆ อาทิ ถ่ายบัตรฯ หรือทะเบียนบ้าน วันละไม่กี่หน้าฯลฯ งานหน้าร้านกับงานจำนวน จะให้คิดราคาเดียวกันก็คงไม่ได้ เหมือนร้านค้าต่างๆ ราคาปลีกกับราคาส่ง ย่อมไม่เท่ากัน ไม่งั้นยี่ปั๊วซาปั๊วตายหมด แล้วหากถามว่าทำไมราคาค่าถ่ายเอกสารถึงไม่พุ่งขึ้นสักที ทั้งที่ธุรกิจอื่นขึ้นราคากันปาวๆ ลองดูราคามือถือ Nokia N series เมื่อ 5 ปีที่แล้วสิว่าเท่าไร แล้วอย่ามาบ่นว่า iPhone หรือ iPad แพง ราคา iPad เดี๋ยวนี้พอๆ กับ Nokia รุ่นทาร์ซานจอขาวดำเมื่อ 10 ปีก่อน เลยนะจะบอกให้

ทำงานใหญ่ใจต้องเด็ด มานั่งรอราคาขึ้นไปวันๆ เหมือนแรงงานรอค่าแรงวันละ 300 บาท นอนงอมืองอเท้ารอไปก่อนก็ได้ แต่งาน 250 มีเยอะแยะเลยนะ ส่วนงาน 200 บาทไม่ต้องพูดถึง ปิดร้านนอนเกาพุงเทรดหุ้นอยู่บ้านดีกว่า พวกชอบตัดราคาหวังแค่ให้ได้งาน พอใจทำได้ราคาไหนก็เชิญ ลูกค้าดีๆ มีอีกมาก ไม่ต้องลำบากไปยื่นเสนอราคาตัดหน้าเจ้าเดิม แค่ทุกวันนี้หน้าร้านก็เดือนละ 500 – 1,000 รีมแล้วล่ะ แค่คิดว่าจะทำอย่างไรส่งงานให้ทันก็มันส์แล้ว 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น